“สารที่นำมาฉีดเติมเต็มใต้ผิวหนังมีหลายชนิด ที่ได้รับการรับรองทางการแพทย์ในปัจจุบัน และถูกนำมาใช้มากที่สุดคือ สารไฮยาลูรอนิก แอสิด (Hyaluronic Acid) และการฉีดไขมันตนเอง (Fat Transfer) ซึ่งสารไฮยาลูรอนิก เป็นที่ยอมรับและใช้กันแพร่หลายทั่วโลกมากกว่าสารอื่นๆ เพราะมีงานวิจัยรองรับถึงความปลอดภัยในการใช้ โดยการสังเคราะห์ไฮยาลูรอนิกนี้จะมีลักษณะโมเลกุลคล้ายกับสารไฮยาลูรอนิกในร่างกายมนุษย์ และเนื่องจากไม่ใช่เป็นคอลลาเจนที่ผลิตมาจากสัตว์ จึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคือง” | ||||
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการฉีดฟิลเลอร์ที่จมูก คือ แพทย์จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญเรื่องกายวิภาคของจมูกอย่างเชี่ยวชาญ มีเทคนิคการฉีดต้องถูกต้องเหมาะสม มีการประเมินรูปร่างจมูกว่าบริเวณใดต้องฉีดมากน้อยเพียงใด และฉีดสารในชั้นผิวหนังที่ถูกต้อง ในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะสันจมูกที่ประกอบด้วย สันกระดูกบริเวณหัวตา(Radix), กระดูกแข็งส่วนบน(Bony Vault), กระดูกอ่อนส่วน upper lateral cartilage, กระดูกอ่อนส่วน Supratip of Lower lateral cartilage และ กระดูกอ่อนส่วน Infratip of Lower lateral cartilage | ||||
เมื่อมองจากด้านข้างแล้ว จมูกควรทำมุม 90 ถึง 95 องศา กับเนื้อด้านบนริมฝีปาก ซึ่งขั้นตอนการปรับปริมาณสารเติมเต็มในแต่ละบริเวณนี้เป็นขั้นตอนที่ยากที่สุด และต้องใช้ประสบการณ์และความรู้เฉพาะทางของแพทย์อย่างมาก | ||||
“การฉีดฟิลเลอร์ที่จมูกนั้นใช้เวลาเพียง 10 นาที หลังฉีดเสร็จจมูกก็โด่งทันตา คนไข้ไม่เจ็บ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น กลับไปทำงานได้ตามปกติ หากไม่พอใจก็สามารถฉีดสลายได้ (ฟิลเลอร์ที่ดีควรมีตัวฉีดสลาย หากไม่มี ให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นสารอื่นที่ไม่ปลอดภัย) และสารไฮยาลูรอนิก มีอายุโดยเฉลี่ย1-2 ปี แล้วจะสลายไปเองตามธรรมชาติโดยไม่มีร่องรอยใดๆทิ้งไว้ ลักษณะจมูกที่เหมาะสม ที่ฉีดฟิลเลอร์แล้วได้ผลดีมากคือ คนที่มีปัญหาสันจมูกน้อย โดยที่ปลายจมูกไม่กว้างจนผิดรูปหรือมีมุมองศาที่ดูจมูกเชิดมากไป ฐานจมูกไม่กว้างมาก และมีความหนาของผิวหนังที่ปลายจมูกเหมาะสม คือไม่หนาหรือบางจนเกินไป” | ||||
ระวังฟิลเลอร์ปลอม |
พบกับ ลูกเล่นใหม่ๆในเครื่องประดับที่นักออกแบบคัดสรรได้อย่างลงตัว ตั้งแต่กระเป๋า Micro Chanel ไปจนถึงต่างหู Fendi Dice กันเลย ...
แบรนด์ดังกับเครื่องประดับต่างๆ จากรันเวย์ในคอลเล็กชั่น Spring/Summer 2021